สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ

กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น เงินของกองทุนมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายส่วนหนึ่งเรียกว่า "เงินสะสม"และนายจ้างจ่ายเงินเข้าอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า "เงินสมทบ" นั่นคือ นอกจากลูกจ้างจะออมแล้ว นายจ้างยังช่วยลูกจ้างออมอีกแรงหนึ่งด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่าการจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพเป็นรูปแบบหนึ่งของการให้สวัสดิการแก่ลูกจ้าง จึงช่วยสร้างแรงจูงใจให้ลูกจ้างทำงานให้กับนายจ้างนานๆ
การจัดตั้งกองทุนสำรองเลี้ยงชีพนอกจากจะทำให้ลูกจ้างมีการออมอย่างต่อเนื่อง มีวินัย และมีนายจ้างช่วยออมแล้ว ยังมีการนำเงินไปบริหารให้เกิดดอกผลงอกเงยโดยผู้บริหารโดยมืออาชีพที่เรียกว่า "บริษัทจัดการ" โดยดอกผลที่เกิดขึ้นจะนำมาเฉลี่ยให้กับสมาชิกกองทุนทุกคนตามสัดส่วนของเงินที่แต่ละคนมีอยู่ในกองทุน
เงินออมของสมาชิกในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะเติบโตจากเงินสะสมและเงินสมทบที่ต้องมีการนำส่งเข้ากองทุนทุกเดือน รวมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากการลงทุนของกองทุน อย่างไรก็ดี กองทุนจะไม่มีการจ่ายดอกเบี้ยหรือเงินปันผลให้สมาชิก เนื่องจากจะสะสมยอดเงินทั้งหมดให้เป็นก้อนใหญ่ เพื่อเก็บไว้รอจ่ายคืนให้สมาชิกที่สิ้นสุดสมาชิกภาพ เช่น เมื่อลาออกจากงาน นอกจากนี้ กองทุนจะไม่ให้สมาชิกถอนเงินออกบางส่วน เพราะจะเป็นการเปิดโอกาสให้สมาชิกนำเงินไปใช้ซึ่งไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของการออมเงินเพื่อไว้ใช้หลังเกษียณ
สมาชิกกองทุนมีสิทธิได้รับเงินจากกองทุนเมื่อความเป็นสมาชิกสิ้นสุดลง โดยจะได้รับส่วนของเงินสะสมเต็มจำนวนทุกกรณี พร้อมทั้งผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากเงินสะสม สำหรับในส่วนของเงินสมทบและผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นจากเงินสมทบ สมาชิกจะได้รับตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในข้อบังคับกองทุน ซึ่งสมาชิกสามารถขอดูรายละเอียดของข้อบังคับกองทุนได้ที่คณะกรรมการกองทุน
ในกรณีที่มีการเปลี่ยนงาน สมาชิกสามารถขอคงเงินไว้ในกองทุนของนายจ้างเดิมเป็นการชั่วคราวเพื่อรอโอนเงินจากกองทุนเดิมไปออมต่อในกองทุนนายจ้างรายใหม่ (ระยะเวลาขึ้นอยู่กับข้อบังคับกองทุนกำหนด) ซึ่งเป็นการออมอย่างต่อเนื่องในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ ทั้งนี้ เพื่อสมาชิกจะได้มีเงินออมจำนวนที่มากพอเมื่อถึงวันเกษียณอายุ และมีชีวิตในวัยเกษียณอย่างมีคุณภาพ นอกจากนี้ การออมเงินในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพไว้จนเกษียณอายุ เงินที่รับออกจากกองทุนจะได้รับยกเว้นภาษีทั้งจำนวนด้วย
ข้อมูลจาก : https://bit.ly/2R8EsQw
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
สิทธิสวัสดิการรักษาพยาบาล

สวัสดิการการรักษาพยาบาลของพนักงานโรงพยาบาลเวชธานี ครอบคลุมการรักษาของพนักงานและครอบครัวทั้งในค่ารักษาและค่ายา โดยพนักงานสามารถใช้สิทธิสวัสดิการในระยะเวลาทดลองงาน เป็นส่วนลดค่ายาและค่ารักษาพยาบาลหลังผ่านทดลองงานสวัสดิการจะครอบคลุมทั้งในส่วนของการเป็นผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอก
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
กองทุนประกันสังคม

กองทุนประกันสังคม
กองทุนที่ให้หลักประกันแก่ผู้ที่อยู่ในระบบประกันสังคมให้ได้รับประโยชน์ทดแทน เมื่อประสบอันตรายหรือเจ็บป่วย ทุพพลภาพ หรือตาย ซึ่งไม่เกิดจากการทำงาน รวมทั้งกรณีคลอดบุตร สงเคราะห์บุตร ชราภาพและว่างงาน
- ผู้ประกันตน
- นายจ้าง
- รัฐบาล
ผู้ประกันตน คือ ลูกจ้างที่มีอายุไม่ต่ำกว่า 15 ปีบริบูรณ์และไม่เกิน 60 ปีบริบูรณ์ แต่ถ้าลูกจ้างอายุครบ 60 ปีบริบูรณ์แต่นายจ้างยังจ้างให้ทำงานต่อให้ถือเป็นผู้ประกันตนต่อไป โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้
- กลุ่มที่ทำงานประจำ ต้องจ่ายเงินสมทบตามกฏหมาย
- กลุ่มที่เคยทำงานประจำ แต่ลาออกและไม่ได้สมัครงานประจำต่อ ซึ่งเคยจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่ต่ำกว่า 12 เดือนตอนที่ยังทำงานประจำอยู่ และลาออกจากงานประจำไม่เกิน 6 เดือนเมื่อลาออกแล้วยังสมัครใจที่จะจ่ายเงินสมทบอยู่
- รวมไปถึงกลุ่มที่ไม่ได้ทำงานประจำ (ฟรีแลนซ์) อายุ 15-60 ปี เลือกจ่ายเงินสมทบเองเพื่อให้ได้ สิทธิ์ประกันสังคม
นายจ้าง คือ ผู้ที่มีลูกจ้างตั้งแต่ 1 คนขึ้นไป เป็นผู้มีหน้าที่ต้องขึ้นทะเบียนนายจ้างพร้อมกับขึ้นทะเบียนลูกจ้างภายใน 30 วัน และเมื่อมีการจ้างลูกจ้างใหม่ต้องแจ้งขึ้นทะเบียนลูกจ้างใหม่ภายใน 30 วันเช่นกัน
เงินสมทบ
เงินสมทบ คือ เงินที่นายจ้าง ลูกจ้าง ต้องนำส่งกองทุนประกันสังคมทุกเดือน ซึ่งในบทความนี้จะขอกล่าวถึงเฉพาะเงินสมทบสำหรับผู้ประกันตนกลุ่มที่ 1 กลุ่มทำงานประจำเท่านั้น ส่วนกลุ่มอื่นๆจะกล่าวถึงในบทความต่อๆไปครับ
กลุ่มผู้ประกันตนกลุ่มนี้จะคำนวณเงินสมทบจากค่าจ้างลูกจ้าง ซึ่งกำหนดไว้ไม่ต่ำกว่าเดือนละ 1,650 บาท และสูงสุดไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท ซึ่งรัฐบาลจะร่วมสมทบด้วยส่วนหนึ่ง โดยลูกจ้างจะถูกนายจ้างหักเงินเดือนในอัตราร้อยละ 5 ของค่าจ้าง นายจ้างจะร่วมจ่ายสมทบด้วยในอัตราที่เท่ากัน คือร้อยละ 5 และรัฐบาลร่วมจ่ายสมทบด้วยในอัตราร้อยละ 2.75
สำหรับ สิทธิประกันสังคม ผู้ประกันตนจะได้รับสิทธิประโยชน์จากกองทุน 2 กองทุน ได้แก่ กองทุนประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน ซึ่งจะได้รับสิทธิประโยชน์ที่แตกต่างกันแล้วแต่กรณีในที่นี้ขอพูดถึงเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ของกองทุนประกันสังคม
กรณีเจ็บป่วย
เงื่อนไขการใช้สิทธิ์ : ต้องจ่ายสมทบกองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่น้อยกว่า 3 เดือน
ในกรณีเจ็บป่วยสามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลตามบัตรรับรองสิทธิได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในกรณีที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอื่นโดยที่ได้สำรองจ่ายค่ารักษาพยาบาลไปก่อน สามารถเบิกคืนจากสำนักงานประกันสังคมในอัตราที่กำหนดดังนี้
- เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของรัฐ การรักษาทั้งอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย สามารถเข้ารับการรักษาได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง ในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงตามความจำเป็น และในกรณีเป็นผู้ป่วยใน เบิกได้ตามที่จ่ายจริง ยกเว้น ค่าห้องและค่าอาหาร เบิกได้ไม่เกินวันละ 700 บาท
- เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของเอกชน กรณีผู้ป่วยนอกเบิกค่ารักษาได้ไม่เกิน 1,000 บาท กรณีผู้ป่วยใน ค่ารักษาพยาบาลกรณีไม่ได้รักษาในห้อง ICU เบิกได้ไม่เกินวันละ 2,000 บาท ค่าห้องค่าอาหารไม่เกินวันละ 700 บาท ค่าห้องกรณีรักษาในห้อง ICU เบิกได้ไม่เกินวันละ 4,500 บาท กรณีต้องผ่าตัดใหญ่เบิกได้ไม่เกินครั้งละ 8,000 – 16,000 บาทตามระยะเวลาการผ่าตัด
- กรณีทันตกรรม เข้ารับบริการ ณ สถานพยาบาลที่ทำความตกลงกับสำนักงานประกันสังคม (ตรวจสอบรายชื่อสถานพยาบาลได้จาก สำนักงานประกันสังคม ) สามารถรับค่าบริการทางการแพทย์ได้ตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 900 บาทต่อปี
เงื่อนไขการใช้สิทธิ : ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมมาแล้วไม่ต่ำกว่า 15 เดือน
สิทธิประโยชน์
- สามารถเบิกค่าคลอดบุตรได้ 13,000 บาทต่อการคลอดบุตร 1 ครั้ง (ไม่จำกัดจำนวนครั้ง)
- ผู้ประกันตนหญิงได้รับเงินสงเคราะห์จากการลาคลอดเหมาจ่ายในอัตราร้อยละ 50 ของเงินเดือนเป็นระยะเวลา 90 วัน (ใช้สิทธิได้เฉพาะบุตรคนที่ 1 และ 2 เท่านั้น)
- กรณีสามีและภรรยาเป็นผู้ประกันตนทั้งคู่ สามารถเลือกใช้สิทธิได้เพียงฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง
เงื่อนไขการใช้สิทธิ : ต้องจ่ายเงินสมทบกองทุนประกันสังคมไม่น้อยกว่า 3 เดือน
สิทธิประโยชน์
- รับเงินทดแทนขาดรายได้ร้อยละ 50 ของค่าจ้างเป็นรายเดือนตลอดชีวิตในกรณีทุพพลภาพร้ายแรง หากไม่ร้ายแรงจะได้รับตามหลักเกณฑ์และระยะเวลาตามที่ประกาศฯกำหนด
- รับค่าบริการทางการแพทย์ หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลของรัฐ กองทุนประกันสังคมจะจ่ายให้เท่าที่จ่ายจริงตามจำเป็นและสมควร หากเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชน ในกรณีเป็นผู้ป่วยนอก กองทุนประกันสังคมจะจ่ายให้เดือนละไม่เกิน 2,000 บาท ในกรณีเป็นผู้ป่วยใน กองทุนประกันสังคมจะจ่ายให้เดือนละไม่เกิน 4,000 บาท ในส่วนของค่ารถและค่าบริการทางการแพท์ย์ จะได้รับการเหมาจ่ายไม่เกินเดือนละ 500 บาท
- ได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเมื่อมีมติให้เป็นผู้ทุพพลภาพ
- หากผู้ทุพพลภาพเสียชีวิต ผู้จัดการศพมีสิทธิได้รับค่าทำศพ 40,000 บาท
- ได้รับเงินสงเคราะห์เสียชีวิต หากผู้ทุพพลภาพจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 3 ปีแต่ไม่ถึง 10 ปีจะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้าง 2 เดือน แต่หากจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปจะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้าง 6 เดือน
เงื่อนไขการใช้สิทธิ : สาเหตุการเสียชีวิตต้องไม่เกิดจากการทำงาน และจ่ายเงินสมทบมาแล้ว 1 เดือน
สิทธิประโยชน์
- ผู้จัดการศพสามารถขอค่าทำศพได้ 40,000 บาท
- เงินสงเคราะห์ กองทุนประกันสังคมจะจ่ายให้บุคคลที่มีชื่อระบุอยู่ในหนังสือระบุให้เป็นผู้รับเงินสงเคราะห์กรณีผู้ประกันตนเสียชีวิต หากไม่มีหนังสือระบุไว้ต้องนำมาเฉลี่ยให้ บิดามารดา หรือ สามีหรือภรรยา หรือบุตร ในจำนวนที่เท่ากัน ซึ่งจะได้เงินสงเคราะห์ดังนี้ หากผู้เสียชีวิตจ่ายเงินสมทบมาแล้วตั้งแต่ 36 เดือนขึ้นไป แต่ไม่ถึง 120 เดือนจะได้รับเงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้าง 2 เดือน หากผู้เสียชีวิตจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ไม่ 120 เดือนขึ้นไป จะได้เงินสงเคราะห์เท่ากับค่าจ้าง 6 เดือน
- ทายาทสามารถขอรับคืนเงินกรณีชราภาพได้ภายใน 2 ปี (ดูรายละเอียดที่กรณีชราภาพ)
เงื่อนไขการใช้สิทธิ : จ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 12 เดือน เป็นบุตรที่ชอบด้วยกฎหมาย ยกเว้น บุตรบุญธรรม หรือบุตรที่ยกให้เป็นบุตรบุญธรรมของคนอื่น
สิทธิประโยชน์
- ได้รับเงินสงเคราะห์บุตรเหมาจ่ายเดือนละ 400 บาท ตั้งแต่บุตรอายุแรกเกิดจนถึง 6 ปีบริบูรณ์
- สามารถขอใช้สิทธิ์ได้ไม่เกิน 3 คน
แยกเป็น 2 กรณีดังนี้
กรณีบำนาญชราภาพ
เงื่อนไขการใช้สิทธิ
- ต้องจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือน (ไม่ต้องจ่าย 180 เดือนติดต่อกัน)
- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ และความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
สิทธิประโยชน์
- ถ้าจ่ายเงินสมทบมาแล้วไม่น้อยกว่า 180 เดือนจะได้รับเงินบำนาญชราภาพเป็นรายเดือน ในอัตราร้อยละ 20 ของค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย
- ถ้าจ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนจะได้รับการปรับเพิ่มบำนาญชราภาพอีกร้อยละ 1.5 สำหรับระยะเวลาที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนทุกๆ 12 เดือนที่จ่ายเงินสมทบเกิน 180 เดือนนั้น
กรณีบำเหน็จชราภาพ
เงื่อนไขการใช้สิทธิ
- จ่ายเงินสมทบไม่ครบ 180 เดือน
- มีอายุครบ 55 ปีบริบูรณ์ หรือเป็นผู้ทุพพลภาพ หรือถึงแก่ความตาย
- ความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
สิทธิประโยชน์
- ถ้าจ่ายเงินสมทบต่ำกว่า 12 เดือน จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนจ่ายเงินสมทบ
- ถ้าจ่ายเงินสมทบตั้งแต่ 12 เดือนขึ้นไป จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพเท่ากับจำนวนเงินสมทบที่ผู้ประกันตนและนายจ้างจ่ายสมทบ พร้อมทั้งผลประโยชน์ตอบแทนที่สำนักงานประกันสังคมประกาศกำหนด
- กรณีผู้รับเงินบำนาญชราภาพถึงแก่ความตายภายใน 60 เดือนนับตั้งแต่ได้สิทธิบำนาญชราภาพ จะได้รับเงินบำเหน็จชราภาพจำนวน 10 เท่าของเงินบำนาญชราภาพรายเดือนที่ได้รับเดือนสุดท้ายก่อนเสียชีวิต
เงื่อนไขการใช้ สิทธิประกันสังคม
- จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน
- มีระยะเวลาว่างงานตั้งแต่ 8 วันขึ้นไป
- ผู้ประกันตนขึ้นทะเบียนเป็นผู้ว่างงานผ่าน เว็บไซต์ กรมการจัดหางาน ของรัฐภายใน 30 วันนับแต่วันที่ลาออกจากงานหรือถูกเลิกจ้าง
- รายงานตัวเป็นผู้ว่างงานผ่าน เว็บไซต์ กรมการจัดหางาน ของรัฐ ไม่น้อยกว่าเดือนละ 1 ครั้ง
- เป็นผู้มีความสามารถในการทำงานและพร้อมจะทำงานตามที่สำนักงานจัดหางานของรัฐจัดหาให้
- ไม่ปฏิเสธที่จะฝึกงาน
- จ่ายเงินสมทบมาแล้ว 6 เดือน
- ต้องไม่ถูกเลิกจ้างในกรณี ทุจริตต่อหน้าที่ หรือ จงใจให้นายจ้างได้รับความเสียหาย หรือทำผิดกฎหมายกรณีร้ายแรง หรือ ละทิ้งหน้าที่เป็นเวลา 7 วันติดต่อกันโดยไม่มีเหตุอันควร หรือ ได้รับโทษจำคุกตามคำพิพากษา และไม่ใช่ผู้ได้รับประโยชน์ทดแทนในกรณีชราภาพ
สิทธิประโยชน์
- ในกรณีที่ถูกเลิกจ้าง จะได้รับเงินทดแทนระหว่างการว่างงานปีละไม่เกิน 180 วันในอัตราร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย ซึ่งค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
- ในกรณีลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างตามระยะเวลา จะได้รับเงินทดแทนระหว่างว่างงานปีละไม่เกิน 90 วันในอัตราร้อยละ 30 ของค่าจ้างเฉลี่ยซึ่งค่าจ้างเฉลี่ยสูงสุดไม่เกิน 15,000 บาท
- กรณีที่ว่างงานเพราะถูกเลิกจ้างมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปีจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนทุกครั้งรวมกันไม่เกิน 180 วัน
- กรณีว่างเงินเพราะลาออกหรือสิ้นสุดสัญญาจ้างมากกว่า 1 ครั้งใน 1 ปีจะมีสิทธิได้รับเงินทดแทนรวมกันไม่เกิน 90 วัน
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
เครื่องแบบพนักงาน
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
ค่าความสามารถด้านภาษาอังกฤษ(TOEIC)

TOEIC
หรือ Test of English for International Communication คือการ ทดสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาอังกฤษในระดับการสื่อสารทั่วๆ ไป TOEIC จะมีอยู่สองแบบคือ TOEIC Listening and Reading Test (การฟังและการอ่าน) และ TOEIC Speaking and Writing Tests (การพูดและการเขียน) ซึ่งอย่างหลังเป็นการสอบรูปแบบใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
ปัจจุบันในบ้านเรามีการสอบเฉพาะแบบ Listening and Reading Test แต่ก็เริ่มมีการทดลองสอบแบบ Speaking and Writing Tests บ้างแล้ว อย่างไม่เป็นทางการ
มีอะไรบ้าง ในข้อสอบ TOEIC
ข้อสอบ TOEIC Listening and Reading Test (Redesigned TOEIC) จะเป็นแบบปรนัย แบ่งออกเป็น การฟัง 100 ข้อ 495 คะแนน และ การอ่าน 100 ข้อ 495 คะแนน รวมจำนวนข้อสอบทั้งสิ้น 200 ข้อ คะแนนเต็ม 990 คะแนน คะแนนในแต่ละข้อจะไม่เท่ากัน
Part 1 Listening (45 นาที) 100 ข้อ น้องๆ จะได้ฟังคำถามและการสนทนาสั้นๆ แล้วตอบคำถามจากสิ่งที่ได้ยิน แบ่งออกเป็น
ข้อ 1-10 Photographs ในข้อสอบจะมีรูปภาพให้เลือก โดยเทปจะพูดประโยค a b c d และให้เราเลือกรูปภาพที่ตรงกับประโยคที่ได้ยิน (10 ข้อ)
ข้อ 11-40 Question-Response เทปจะอ่านคำถามสั้นๆ ให้เลือกคำตอบจากชอยส์ที่มี ให้ถูกต้อง (30 ข้อ)
ข้อ 41-70 Conversations ในข้อสอบจะมีโจทย์และคำตอบเป็นชอยส์มาให้ โดยให้เลือกคำตอบจากบทสนทนาที่ได้ฟัง 1 บทสนทนาจะใช้กับโจทย์สามข้อ (30 ข้อ)
ข้อ 71-100 Short Talks จะมีบทพูดสั้นๆ ให้ฟัง แล้วมีโจทย์และคำตอบเป็นชอยส์มาให้เลือกตอบ โดยหนึ่งบทพูดใช้กับโจทย์สามข้อเช่นเดียวกัน (30 ข้อ)
Part 2 Reading (75 นาที) 100 ข้อ ในส่วนนี้น้องๆ จะต้องตอบคำถามโดยใช้ทักษะการอ่าน แบ่งออกเป็น
ข้อ 101 - 140 Incomplete Sentences โจทย์เป็นประโยคสั้นๆ ให้เราเลือกเติมคำตอบที่ถูกต้องจากชอยส์ ลงในช่องว่าง (40 ข้อ)
ข้อ 141 - 152 Text Completion โจทย์จะเป็น paragraph สั้นๆ มีช่องว่างไว้ 3 ข้อ เพื่อให้เราเลือกเติมคำที่ถูกต้องจากชอยส์ (12 ข้อ)
ข้อ 153 - 180 Reading Comprehension Part 1 อ่านบทความเพื่อวัดความเข้าใจเนื้อหาและคำศัพท์ แล้วเลือกคำตอบจากชอยส์ โดย 1 บทความใช้ตอบคำถามประมาณ 3 - 4 ข้อ (28 ข้อ)
ข้อ 181 - 200 Reading Comprehension Part 2 วัดความเข้าใจเนื้อหาและ คำศัพท์เหมือนพาร์ทแรก แต่จะยากกว่า คือมีบทความสองชิ้นให้อ่านประกอบกัน แล้วเลือกคำตอบ (20 ข้อ)
การสมัครสอบ TOEICขั้นตอนการสมัครสอบ TOEIC
เตรียมค่าสอบ TOEIC 1,500 บาท (Redesigned TOEIC) เตรียมรูปถ่าย 1 นิ้ว หรือ 2 นิ้วก็ได้ สามารถสมัครด้วยตัวเองที่ ตึก BB หรือโทรไปจองที่นั่งสอบ โทร 02-260 7061 , 02 664 3131 เปิดสอบสองช่วงคือ เช้า 09.00 น.-12.00 น. และบ่าย 13.00น.-16.00 น. เปิดสอบทุกวันยกเว้นวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์
ผลสอบ TOEIC เอาไปใช้ทำอะไรได้บ้าง?
โดยทั่วไป จะใช้ผลสอบ TOEIC ในการสมัครงาน เช่น สายงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจการบิน การโรงแรม การท่องเที่ยว การคมนาคม การเงินการลงทุน และอื่นๆ โดยผลสอบ TOEIC มีอายุ 2 ปี นับจากวันที่สอบ
ทั้งนี้มีหลายๆ บริษัทหรือหน่วยงานที่ไม่ได้กำหนดว่าต้องยื่นคะแนน TOEIC ในการสมัคร แต่ก็บางบริษัทมีนโยบายในการเพิ่มค่าตอบแทนสำหรับผู้ที่มีคะแนนสอบ TOEIC ตามเกณฑ์ที่บริษัทกำหนดไว้ ที่เรียกกันติดปากว่า “ค่าภาษาอังกฤษ” ให้ ซึ่งแม้จะไม่ได้มีเกณฑ์ที่แน่ชัด แต่หน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ หรือบริษัทเอกชนบางแห่ง มักจะตั้งไว้ที่ 550 – 650 คะแนนขึ้นไป ส่วนงานที่เกี่ยวกับธุรกิจการบินมักจะรับที่ 800 + การสอบ TOEIC จึงเป็นที่นิยมมากในกลุ่มคนทำงาน
ข้อมูลจาก : https://bit.ly/2Me00tW
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
การตรวจสุขภาพประจำปี
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
งานเลี้ยงสังสรรค์พนักงาน

Staff party
ของโรงพยาบาลเวชธานีจะจัดขึ้นปีละ2ครั้ง ประกอบด้วย
- งานปีใหม่โรงพยาบาล จัดขึ้นภายในเดือนมกราคม ภายในงานมีการจัดเลี้ยงอาหารและเครื่องดื่มและมีกิจกรรมลุ้นของรางวัลปีใหม่จากทางโรงพยาบาล
- งานวันเกิดโรงพยาบาล จัดขึ้นราวๆปลายเดือนกรกฏาคม ภายในงานมีการจับของขวัญเล็กๆน้อยๆจากผู้บริหารให้พนักงานเพื่อสร้างขวัญและกำลังใจในการทำงาน
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
V-Fitness

สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
สวัสดิการด้านทันตกรรม
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
การพัฒนาความรู้และทักษะในการทำงาน

โรงพยาบาลเวชธานีเล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาตนเองจึงส่งเสริมในเรื่องของการอบรมทักษะความรู้ต่างๆเพื่อเอามาประยุคใช้ในการปฏิบัติงาน
สวัสดิการ และสิทธิประโยชน์
ค่าความสามารถด้านภาษาจีน(HSK)
HSK ย่อมาจาก Hanyu Shuiping Kaoshi แปลว่า การสอบวัดระดับความรู้ทางภาษาจีน เป็นการสอบสำหรับชาวต่างชาติที่ไม่ใช้ภาษาจีนเป็นภาษาหลัก ดำเนินการโดย The Office of Chinese Language Council International: HANBAN ของรัฐบาลจีน เพื่อตอบสนองต่อความต้องการเรียนรู้ภาษาจีนของคนทั่วโลก ผู้ที่ต้องการเรียนต่อประเทศจีนหรือทำงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาจีน สามารถใช้ผลสอบ HSK เป็นหลักฐานในการสมัครเรียนและสมัครงานได้ โดยผลสอบจะมีอายุ 2 ปี
ระดับการสอบ
ข้อเขียนแบ่งออกเป็น 6 ระดับ
- HSK ระดับ 1
- เข้าใจคำศัพท์และประโยคง่ายๆ
- รู้คำศัพท์ประมาณ 150 คำ
- ค่าสมัครสอบ 500 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 40 นาที
- ข้อสอบมีจำนวน 40 ข้อ แบ่งเป็น ฟังเข้าใจ 20 ข้อ และ อ่านเข้าใจ 20 ข้อ
- คะแนนเต็มหัวข้อละ 100 คะแนน ต้องได้คะแนนรวม 120 ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
- HSK ระดับ 2
- ใช้ประโยคภาษาจีนง่ายๆ สื่อสารในชีวิตประจำวันได้บ้าง
- รู้คำศัพท์ประมาณ 300 คำ
- ค่าสมัครสอบ 700 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 55 นาที
- ข้อสอบมีจำนวน 60 ข้อ แบ่งเป็น ฟังเข้าใจ 35 ข้อ และ อ่านเข้าใจ 25 ข้อ
- คะแนนเต็มหัวข้อละ 100 คะแนน ต้องได้คะแนนรวม 120 ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
- HSK ระดับ 3
- ใช้ภาษาจีนสื่อสารในชีวิตประจำวัน การเรียน การทำงานได้
- รู้คำศัพท์ประมาณ 600 คำ
- ค่าสมัครสอบ 900 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 90 นาที
- ข้อสอบมีจำนวน 80 ข้อ แบ่งเป็น ฟังเข้าใจ 40 ข้อ อ่านเข้าใจ 30 ข้อ และการเขียน 10 ข้อ
- คะแนนเต็มหัวข้อละ 100 คะแนน ต้องได้คะแนนรวม 180 ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
- HSK ระดับ 4
- สามารถสื่อสารกับเจ้าของภาษาได้เป็นอย่างดี
- รู้คำศัพท์ประมาณ 1,200 คำ
- ค่าสมัครสอบ 1,200 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 105 นาที
- ข้อสอบมีจำนวน 100 ข้อ แบ่งเป็น ฟังเข้าใจ 45 ข้อ อ่านเข้าใจ 40 ข้อ และการเขียน 15 ข้อ
- คะแนนเต็มหัวข้อละ 100 คะแนน ต้องได้คะแนนรวม 180 ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
- HSK ระดับ 5
- ใช้ภาษาจีนในการอ่านนิตยสาร หนังสือพิมพ์ ดูรายการโทรทัศน์ของประเทศจีนเข้าใจ กล่าวสุนทรพจน์ภาษาจีนได้
- รู้คำศัพท์ประมาณ 2,500 คำ
- ค่าสมัครสอบ 1,600 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 125 นาที
- ข้อสอบมีจำนวน 100 ข้อ แบ่งเป็น ฟังเข้าใจ 45 ข้อ อ่านเข้าใจ 45 ข้อ และการเขียน 10 ข้อ
- คะแนนเต็มหัวข้อละ 100 คะแนน ต้องได้คะแนนรวม 180 ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
- HSK ระดับ 6
- เข้าใจข่าวภาษาจีนในระดับยากทั้งการฟังและอ่าน ใช้ภาษาจีนถ่ายทอดความคิด/ความรู้สึกได้ทั้งการพูดและการเขียน
- รู้คำศัพท์ประมาณ 5,000 คำ
- ค่าสมัครสอบ 2,000 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 140 นาที
- ข้อสอบมีจำนวน 101 ข้อ แบ่งเป็น ฟังเข้าใจ 50 ข้อ อ่านเข้าใจ 50 ข้อ และการเขียน 1 ข้อ
- คะแนนเต็มหัวข้อละ 100 คะแนน ต้องได้คะแนนรวม 180 ขึ้นไปจึงจะถือว่าสอบผ่าน
การพูดแบ่งออกเป็น 3 ระดับ
- HSK การพูด (ระดับต้น)
- ค่าสมัครสอบ 500 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 20 นาที
- HSK การพูด (ระดับกลาง)
- ค่าสมัครสอบ 700 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 23 นาที
- HSK การพูด (ระดับสูง)
- ค่าสมัครสอบ 800 บาท
- ระยะเวลาในการสอบ 25 นาที