Warning: include(inc_3step.php): failed to open stream: No such file or directory in /home/jobs.vejthani.com/public_html/bangkok-hospital-in-thailand/testimonials_inside.php on line 76
Warning: include(): Failed opening 'inc_3step.php' for inclusion (include_path='.:/usr/share/php') in /home/jobs.vejthani.com/public_html/bangkok-hospital-in-thailand/testimonials_inside.php on line 76
ผลตอบรับ จากผู้เข้ารับการรักษา
ลดอ้วนไม่ต้องผ่าตัด...
Notice: Undefined offset: 1 in /home/jobs.vejthani.com/public_html/includes/datetime.class.php on line 91
Notice: Undefined offset: 1 in /home/jobs.vejthani.com/public_html/includes/datetime.class.php on line 100
Update : 04 กันยายน 2558
ใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร
คุณจินตนา ทองนิล หรือ ปาล์มมี่ ได้เปิดเผยว่า เหตุผลที่เลือกมาใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร เนื่องจากมีโรคประจำตัวเป็นหอบหืดและรู้สึกอึดอัดกับน้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น ทำให้รู้สึกไม่สบายตัว ไม่คล่องตัวเวลาทำงาน และกลัวว่าในอนาคตจะมีโรคแทรกซ้อนตามมาอีก ซึ่งก่อนหน้านี้ได้ลองลดความอ้วนหลายวิธีด้วยกันเช่น ลองอดอาหาร ทานยาลดความอ้วน หรือเพื่อนแนะนำที่ไหนดีแม้ราคาแพงแค่ไหนก็ไป แต่ผลปรากฏว่าช่วงที่รักษาแรกๆน้ำหนักตัวก็ลด แต่ไม่นานน้ำหนักก็ปรับเพิ่มขึ้นเหมือนเดิมพอได้ศึกษาเห็นที่โรงพยาบาลเวชธานีมีการลดความอ้วนแบบไม่ต้องผ่าตัดเลยเกิดความสนใจ และศึกษาหาข้อมูล แล้วจึงตัดสินใจทำ ก่อนหน้าที่จะเข้ามาใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารได้ปรึกษากับทางครอบครัว ซึ่งมีคุณพ่อ คุณแม่ ว่าจะทำการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารเพื่อ ให้น้ำหนักตัวลดลง จะได้ทำงานคล่องตัว ขึ้นท่านก็ไม่ได้ห้ามอะไรก็อนุญาตให้ทำ โดยขั้นตอนการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ทีแรกไม่ทราบว่าคุณหมอต้องทำอย่างไร จึงได้เข้ามาปรึกษา พญ.ศศิพิมพ์ สัลละพันธ์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี เพราะก่อนหน้านี้ยอมรับว่า มีความกังวลอยู่บ้าง แต่พอได้ปรึกษาคุณหมอ และเข้าใจการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ก็ทำให้เกิดความคลายกังวลลงไป พอได้เริ่มเข้ามาใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารช่วง 3 เดือนแรก น้ำ หนักลดลงมาอยู่ที่ 89 กิโลกรัม จากก่อนหน้านี้อยู่ที่ 101.5 กิโลกรัม และตั้งใจไว้ว่าจะลดลงให้เหลือที่ 65 กิโลกรัม ![]() “พอใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารแล้ว จาก 3 เดือนที่ผ่านมาน้ำหนักลดลงไป 13 กิโลกรัม โดยใน 1-2 วันแรก หลังจากที่ได้ใส่บอลลูนจะมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย จากนั้นก็สามารถ ทานอาหารอ่อนๆ ได้ เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก เป็นต้น คุณหมอจะนัดดูอาการทุกๆ เดือน เพื่อติดตามผล” |
![]() โดยคุณหมอได้บอกว่า การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารจะเห็นผลประมาณเดือนที่ 6-12 ซึ่งจะไม่ได้เป็นการลดฮวบฮาบ แต่ จะค่อยๆ ลดลง และเป็นการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารด้วย เพราะจะสามารถรับประทานอาหารได้ไม่มากนัก ซึ่งคุณหมอจะถ่ายรูปเก่าไว้เปรียบเทียบในพัฒนาการอยู่เรื่อยๆตลอดระยะเวลาที่ทำการรักษา ด้านพญ.ศศิพิมพ์ สัลละพันธ์ อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี เปิดเผยว่า การลดน้ำหนัก มีอยู่ด้วยกันหลายวิธีเริ่ม ตั้งแต่เริ่องของยาเม็ดลดความอ้วนที่ช่วยลดการย่อย และดูดซึมอาหารพวกแป้งและไขมัน โดยหลักการยาตัวนี้ทำให้ร่างกายได้รับพลังงานจากอาหารลดลง อาจมีผลข้างเคียงเรื่องท้องเสีย ปวดท้อง ท้องอืด ในคนไข้ที่อ้วนมากอาจจะใช้วิธีนี้เพียงวิธีเดียวไม่ได้ผล ส่วนยาลดความอ้วนอื่นๆ จะมีเรื่องของยาลดความอยากอาหาร ซึ่งยาตัวนี้มีผลข้างเคียงมาก และยาบางชนิดเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ในระยะยาว ไม่สามารถรักษาได้จริง และอีกทางเลือกสำหรับคนไข้โรคอ้วน คือ การผ่าตัดลดน้ำหนัก ซึ่งมีหลายวิธี หมอจะขอยกตัวอย่างแบบที่นิยมทำกันได้แก่ การผ่าตัดกระเพาะอาหารออกบางส่วน ซึ่งมีการทำมานานแล้ว สามารถลดน้ำหนักได้ดีมาก หลักการคือทำให้กระเพาะมีขนาดเล็กลง ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลง อิ่มเร็วขึ้น พอทานได้น้อยแคลอรี่ต่อมื้อก็จะได้น้อยลง ทำให้กินน้อยกว่าที่เราใช้น้ำหนักของเดิมก็จะค่อยๆ ลดลง แต่ผลเสียคือการผ่าตัดไม่สามารถทำซ้ำได้ ล่าสุดได้มีการลดความอ้วนแบบที่ไม่ต้องผ่าตัด โดยเป็นการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ซึ่งในต่างประเทศมีการใช้วิธีนี้มา 10 ปีแล้ว โดยการนำบอลลูนเข้าไปแทนที่อยู่ในกระเพาะอาหาร ทำให้รับประทานอาหารได้น้อยลงและรู้สึกอิ่มตลอดเวลา |
|
แต่อย่างไรก็ตาม ยังคงต้องทำควบคู่กับการควบคุมอาหาร รวมถึงการออกกำลังกายด้วย ซึ่งข้อดีของวิธีนี้คือ ขั้นตอนการทำง่าย สามารถลดน้ำหนักได้ค่อนข้างเยอะ ภายใน 6 เดือนสามารถลดได้กว่า 20 กิโลกรัม โดยเฉลี่ยตามการศึกษาประมาณ 22 - 24 กิโลกรัม และถ้าเราพอใจน้ำหนักตัวแล้วก็สามารถหยุดได้ หรือสามารถทำซ้ำ ได้ด้วย หลังจากที่ผ่านไปแล้ว 1 ปี “ถ้าน้ำหนักกลับมาเพิ่มขึ้นอีก อย่างเช่น น้ำหนักอยู่ที่ 100 กิโลกรัม ทำบอลลูนใส่ในกระเพาะอาหารลดลงไป 20 กิโลกรัม มาเหลืออยู่ที่ 80 กิโลกรัม แต่กลับมาเพิ่มขึ้นอีก 5 กิโลกรัม เป็น 85 กิโลกรัม สามารถกลับมาใส่บอลลูนได้อีกรอบหนึ่ง ก็ลดได้อีก ซึ่งขึ้นอยู่กับการปฎิบัติของแต่ละคน บางคนสามารถลดได้มากกว่านี้ บางคนก็ลดได้น้อยกว่านี้ ขึ้นอยู่กับร่างกายของแต่ละคนในการปรับตัว” พญ.ศศิพิมพ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีการส่องกล้องใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารทำได้ไม่ยุ่งยาก ไม่น่ากลัว และไม่เจ็บ โดยจะมีการฉีดยาชาบริเวณคอและฉีดยานอนหลับเหมือนการส่องกล้องกระเพาะอาหารทั่วไป จากนั้นจะส่องกล้องเข้าไปทางหลอดอาหารในขณะที่หลับแล้ว และจะสอดอุปกรณ์ผ่านกล้องส่วนบอลลูนคงจะสงสัยว่า จะไปโตในท้องได้อย่างไร เราจะให้มันไปขยายขณะที่เข้าไปอยู่ในกระเพาะแล้ว ตอนใส่เข้าไปก็จะเล็กๆ แลว้ จะค่อยๆ ใสน้ำเกลือ เข้าไปในบอลลนู ประมาณ 500 ซีซี เพื่อให้บอลลูนขยายออก โดยจะใช้เวลาทำประมาณ 15 -20 นาทีข้อดีของการทำแบบนี้คือ ลดน้ำหนักได้ดี กว่า การรับประทานยา สะดวก ไม่มีแผล พักฟื้นเร็ว และสามารถปรับขนาดของบอลลูน ![]() ได้ ส่วนข้อเสียคือ น้ำหนักอาจจะเพิ่มขึ้นได้ หากเราไม่ควบคุมอาหารในระยะยาว ก็จะสามารถกลับมาอ้วนได้อีก ในกรณีของคุณปาล์มมี่ ถือเป็นคนไข้โรคอ้วน จึงได้ทำการใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร หลังจากที่ทำการใส่บอลลูนไปแล้วช่วงสัปดาห์แรกร่างกายจะรู้สึกถึงอาการอิ่มท้อง แน่นท้อง คลื่นไส้ ทำให้รับประทานอาหารได้น้อย ซึ่งทุกคนต้องเป็นอยู่แล้ว |
![]() แต่จะเป็นมากในช่วง 3–5 วันแรก ไม่เกิน 1 สัปดาห์ อาการจะค่อยๆ ดีขึ้นมาก โดยในช่วงแรกหมอจะจัดโปรแกรมให้เลย ในเรื่องของอาหารให้ดื่มเป็นอาหารน้ำๆ จะเป็นอาหารเหลว ในช่วงต่อมาก็จะเริ่มให้กินอาหารอ่อนย่อยง่าย คือ 1–2 วันแรก ในปริมาณไม่มากให้ทานบ่อยๆ ภายในสัปดาห์แรก เมื่อพ้นสัปดาห์ที่ 3 ก็สามารถให้รับประทานได้ปกติ แต่ปริมาณที่รับประทานต่อมื้อก็ต้องลดลงเพราะเราจะต้องควบคุมอาหารด้วย ในส่วนของคุณปาล์มมี่ ลดได้ประมาณ 13 กิโลกรัมภายใน 3 เดือน ถือว่าเป็นที่น่าพอใจ หากติดตามต่อไปแล้วพบว่าน้ำหนักคนไข้เริ่มคงที่ อย่างเช่นของน้องปาล์มมี่ ถ้าเกิดดูต่ออีก สักเดือนหนึ่งแล้วมันยังไม่ลดเพิ่ม หมอมีแผนที่จะมาเพิ่มขนาดของบอลลูน ซึ่ง จากการศึกษาพบว่า ถ้าเราใส่น้ำเกลือในบอลลูนเพิ่มประมาณ 200-300 ซีซี ทำให้น้ำหนักตัวลงไปอีก เนื่องจาก ร่างกายของคนเราเก่ง สามารถปรับตัวให้ชินกับบอลลูนในท้องได้ทำให้สามารถรับประทานได้ปกติ ซึ่งตามโปรแกรมมีการเพิ่มขนาดอยู่แล้วในช่วงประมาณ 3-6 เดือนหลังจากที่ใส่บอลลูนเข้าไปในช่วงเดือนแรกแล้ว จะมีการตรวจสุขภาพทุกสัปดาห์ หลังจากนั้นก็จะเป็นเดือนละครั้งต่อไป ขณะที่ คุณสธาทิพย์ มาตโคกสูง หรือ คุณแจง ได้บอกกับทีมงานว่า ปัจจุบัน อายุ 31 ปี สาเหตุที่มาใส่บอลลนู ในกระเพาะอาหารเนื่องจากมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไป เวลาเคลื่อนไหวทำให้รู้สึกไม่คล่องตัว เหนื่อย และยิ่งเวลาทำงานหนักๆ ในบางครั้งจะมีอาการเจ็บหลัง เจ็บขา เลยทำให้เลือกวิธีการใส่บอลลูน น้ำหนักเพราะเป็นวิวัฒนาการใหม่สำหรับคนที่อยากผอมและไม่ต้องทำการผ่าตัด ใช้เวลาในการทำไม่นาน สามารถกลับบ้านได้เลย |
|
โดยได้ทำการรักษากับ นพ.รัชวิชญ์ เจริญกุล อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี ซึ่งก่อนที่จะ มารักษากับคุณหมอ มีน้ำหนักตัวอยู่ที่ 105 กิโลกรัม ผ่านไป 3 เดือน น้ำหนักปรับตัวลดลงกว่า 14 กิโลกรัม ซึ่งคุณหมอได้แจ้งก่อนหน้านี้ว่า การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารจะสามารถ ลดน้ำหนักได้ประมาณ 30 กิโลกรัม ภายในหนึ่งปี ทั้งนี้ ครั้งแรกที่ใส่อาจจะมีอาการผิดปกติเล็กน้อยในช่วงสัปดาห์แรก คือ มีอาการอึดอัด จุก แน่นท้อง พอทานอะไรเข้าไปจะรู้สึกแน่น เหมือนอาหารไม่ย่อย เหมือนกับว่าบอลลูนไปแทนที่ ในกระเพาะอาหาร แต่พอหลังจากนั้นเริ่มรู้สึกสบายตัว เริ่มเป็นปกติ เดินไม่จุก สามารถเริ่มกินได้ตามปกติ ซึ่งคุณหมอจะมีโปรแกรมในการรับประทานอาหารให้ด้วย ช่วงที่เริ่มทำใหม่ คุณหมอยังไม่ได้เริ่มให้รับประทานข้าว แต่จะให้รับประทานแค่ นมจืด ผัก ผลไม้ ก่อน “คุณหมอรัชวิชญ์แนะนำในเรื่องของการควบคุมอาหารช่วง 3 เดือนแรก ซึ่งยังไม่ให้ทานข้าวเลย ทานแป้งได้แต่ไม่ให้ทานข้าวที่แนะนำไม่ให้ทานข้าวเพราะตัวแป้งในข้าวจะทำให้เรามีนำหนัก ลดลงช้าหรือไม่ลงเลย ก็รู้สึกเป็นอย่างนั้นจริงๆ จะมี อาการหิวๆ ในช่วงแรก แต่จะมีนมจืดช่วย หรือชนิดที่หวานน้อย เข้ามาช่วย ก็ทำให้รู้สึกอิ่มท้อง” ![]() “คุณแจง” ได้บอกเพิ่มเติมว่า การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหารแบบไม่ผ่าตัด ถือว่ามีความปลอดภัยมาก เท่าที่ศึกษาหาข้อมูลดูและการลดน้ำหนักครั้งนี้ถือได้ว่า เป็นไปตามที่กำหนด เพราะ ได้ทำตามคุณหมอแนะนำทุกอย่าง มีการควบคุมอาหารตามโปรแกรมที่คุณหมอจัดให้ และหลังจากที่ใส่บอลลูนมา ยังไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นเลย สำหรับขั้นตอนในการใส่บอลลูน เริ่มแรกคุณหมอรัชวิชญ์ จะส่องกล้องดูกระเพาะอาหารก่อน เพื่อเตรียมความพร้อมว่าข้างในกระเพาะอาหารไม่มีบาดแผล ไม่มีอะไรที่ผิดปกติใน กระเพาะ หลังจากนั้นก็เริ่มใส่บอลลูนเข้าไป และตามด้วย |
เมธิลีนบลู ซึ่งเป็นน้ำสีฟ้าๆ เข้าไปข้างในประมาณ 500 มิลลิลิตรใช้เวลาประมาณ 30 นาที หลังจากที่ทำเสร็จคุณหมอจะนัดตรวจดูอาการทุกสัปดาห์ในช่วงเดือนแรก จากนั้นเดือนต่อไปคุณหมอจะนัดดูอาการประมาณครึ่งเดือนครั้ง เพื่อตรวจดูอาการอีกครั้งหนึ่ง
ด้าน นพ.รัชวิชญ์ เจริญกุล อายุรแพทย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลเวชธานี ได้ให้ข้อมูลว่า การใส่บอลลูนในกระเพาะอาหาร ที่โรงพยาบาลเวชธานีถือเป็นที่แรกที่มีการนำมาใช้ เป็นวิธีการทำค่อนข้างง่าย ผลแทรกซ้อนน้อยมาก ทำประมาณ 15–30 นาที ที่ต่างประเทศมีการทำแบบนี้กันอย่างแพร่หลาย และไม่จำเป็นจะต้องนอนที่โรงพยาบาล สามารถกลับบ้านไปใช้ชีวิตประจำได้ตามปกติ สำหรับในกรณีของคุณสุธาทิพย์ มาตโคกสูง หรือคุณแจง ก่อนหน้านี้จะมีน้ำหนักตัวอยู่ที่ประมาณ 105 กิโลกรัม 3 เดือนผ่านไปลดเหลือ 93 กิโลกรัม แต่อย่างไรก็ตาม หลักการกลุ่มที่เป็นคลาสสิกบอลลูนจะลดน้ำหนักประมาณ 80% ใน 3 เดือนแรก หลังจาก 3 เดือนจะนิ่ง ในบางคนก็จะปรับตัวได้ ข้อดีของการทำบอลลูน คือ บอลลูนสามารถปรับลดขนาดได้ ซึ่งจะมีความแตกต่างกับการผ่าตัดรัดกระเพาะ สำหรับขั้นตอนการใส่บอลลูน จะเหมือนการส่องกล้องกระเพาะอาหารทั่วไป จาก นั้นจะใส่น้ำเกลือที่ผสมกับสารสีฟ้า (เมธิลีนบลู- Methylene Blue) เข้าไปในบอลลูน ประมาณ 400-500 ซีซี โดยลูกบอลลูนสามารถปรับเพิ่มหรือลดขนาดได้ตามความต้องการ โดยขึ้นอยู่ กับดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งลูกบอลลูนที่ใส่ลงไปสามารถอยู่ได้นานสูงสุด 1 ปี แต่หากผู้ป่วยพอใจในน้ำหนักที่ลดลงก่อน 1 ปีสามารถนำออกได้ โดยปลอ่ยน้ำในลูกบอลลูนออก และส่องกล้องเพื่อนำลูกบอลลูนออกจากร่างกาย นพ.รัชวิชญ์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนภาวะแทรกซ้อนจากการใส่บอลลูนนั้น โดยรวมพบเพียง 0.27% ซึ่งน้อยมากเมื่อเทียบกับวิธีการลดความอ้วนอื่นๆ และส่วนใหญ่ภาวะแทรกซ้อนที่ เกิดขึ้น คือ คลื่นไส้ อาเจียน แน่นท้องช่วงสัปดาห์แรกหลังใส่บอลลูน ข้อห้ามในการใส่บอลลูน ได้แก่ การตั้งครรภ์ มีความผิดปกติของหลอดอาหารและกระเพาะอาหาร เช่น เป็นแผลในกระเพาะ กรดไหลย้อนรุนแรง หรือเคยผ่าตัดรัดกระเพาะอาหารและหลอดอาหาร เป็นต้น การแพ้ยางซิลิโคน เป็นผู้ที่มีภาวะเลือดออกง่ายหรือกินยาละลายลิ่มเลือด และคนที่มีโรคประจำตัวรุนแรง เช่น โรคหัวใจขาดเลือด เป็นต้น |


กรอกอีเมล์รับข่าวสาร